อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เช่นเดียวกับการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น เพื่อก้าวไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการรีไซเคิลและการนำแบตเตอรี่ EV กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดขยะ
ตลาดแบตเตอรี่ EV ชีวิตหลังการใช้งาน
จากการศึกษาของ IDTechEx บริษัทวิจัยจากสหราชอาณาจักร คาดว่า ตลาดแบตเตอรี่ EV ชีวิตหลังการใช้งานจะมีมูลค่าสูงถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปีข้างหน้า เมื่อจำนวนของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน (Li-ion) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าในอนาคตเมื่อรถเหล่านี้ถึงอายุการใช้งานและต้องถูกเกษียณ บรรดาแบตเตอรี่เหล่านี้จะมีโอกาสถูกนำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ระบบเก็บพลังงาน
การนำกลับมาใช้ใหม่ในภาคพลังงาน
แบตเตอรี่ EV เมื่อถึงจุดสิ้นสุดการใช้งานในรถยนต์แล้ว จะมีโอกาสที่จะถูกนำมาใช้ใหม่เพื่อเก็บพลังงานในระบบอื่น ๆ เช่น ในโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม การนำแบตเตอรี่ที่หมดอายุมาใช้ใหม่จะช่วยลดความต้องการในการขุดแร่และผลิตวัสดุดิบใหม่ รวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ เช่น โคบอลต์และนิกเกิล ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในแบตเตอรี่

การพัฒนาเทคโนโลยีและความท้าทายในการรีไซเคิล
แม้ว่าตลาดนี้จะมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการในการทำให้มันเป็นจริง การนำแบตเตอรี่ EV กลับมาใช้ใหม่มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่แบตเตอรี่จะต้องถูกส่งไปยังศูนย์รีไซเคิลที่อยู่ห่างไกล การทดสอบหรือการคัดแยกแบตเตอรี่เก่าเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการแยกและประกอบแบตเตอรี่ใหม่
นอกจากนี้ การที่แบตเตอรี่แต่ละประเภท เช่น ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต (LFP) และ นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (NMC) มีลักษณะและกระบวนการรีไซเคิลที่แตกต่างกัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การนำแบตเตอรี่มาใช้ใหม่ยังคงต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม โดยแบตเตอรี่ NMC ซึ่งใช้แร่โคบอลต์และนิกเกิลนั้น สามารถทำกำไรจากการรีไซเคิลได้มากกว่า ในขณะที่แบตเตอรี่ LFP อาจไม่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมจากมุมมองทางเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดแบตเตอรี่ชีวิตหลังการใช้งานจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในอนาคต การที่ราคาของลิเธียมที่ลดลงจะทำให้การเปลี่ยนแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกลงกว่าการเปลี่ยนเครื่องยนต์ในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE cars) นอกจากนี้ อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของสหรัฐฯ คาดว่าจะมีความสามารถในการรีไซเคิลประมาณครึ่งล้านตันต่อปีในอนาคต
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่สำคัญคือการปรับปรุงและมาตรฐานในเรื่องการรีไซเคิลแบตเตอรี่ โดยการกำหนดมาตรฐานในการใช้วัสดุรีไซเคิล เช่น ในสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้แบตเตอรี่ EV ต้องมีวัสดุรีไซเคิลอย่างน้อย 16% ของโคบอลต์ และ 6% ของลิเธียมและนิกเกิลภายในปี 2031
สรุป
การพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลและนำแบตเตอรี่ EV กลับมาใช้ใหม่ ถือเป็นก้าวสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ เพื่อให้สามารถพัฒนาตลาดนี้ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน